ยาเม็ดลดน้ำหนักในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ยาเคมีและยาสมุนไพร ผลข้างเคียงของยาที่เป็นเคมีรุนแรงกว่ายาสมุนไพร เนื่องจากยาเคมีออกฤทธิ์โดยตรงกับสมอง ทำให้อาจเกิดอาการจิตหลอนและอาจถึงขั้นเสียชีวิต ความรู้ที่คุณอาจไม่เคยรู้ กลุ่มยาเคมี จะออกฤทธิ์ที่สมอง มีผลต่อจิตและระบบประสาท 1. กลุ่มยาลดความหิว ความอยากอาหาร ระยะเริ่มแรกคุณจะไม่มีอาการอยากทาน จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งร่างกายไม่มีอาหารเพียงพอระบบการเผาผลาญจะหยุดทำงานทันที ผลข้างเคียงของยาเคมี คือ คอแห้ง ใจสั่น นอนไม่หลับ ท้องผูก ยิ่งทานนาน 3-6 เดือน สภาวะทางอารมณ์จะแปรปรวน หากตรวจปัสสาวะจะเป็น Positive คือเป็นบวก ปัสสาวะคนที่กินยาลดความอ้วนจะเป็น "สีม่วง" ปัจจุบันนี้มีเพียงกลุ่มเดียวที่กระทรวงสาธารณสุขรับรองและตรวจสอบแล้วว่าทานได้ คือกลุ่ม เฟตามีน แต่ออกฤทธิ์ร้ายแรงมีผลต่อจิตและระบบประสาท ดังนั้น การทานยาจำพวกนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
2. กลุ่มยาที่เข้าไปหยุดการดูดซับของไขมัน ยากลุ่มนี้เป็นตัวสร้างนิสัยการกินที่ผิด เพราะคิดว่าทานมากน้อยเพียงใดก็ไม่ทำให้อ้วน แต่แท้จริงนั้นยาสามารถดักจับไขมันได้เพียงแค่ 30-50% ซึ่งอีก 50-70% ก็เข้าสู่ร่างกายเราโดยไม่รู้ตัว รวมไปถึงพวกคาร์โบไฮเดรตต่างๆ ก็เข้าไปด้วยเช่นกัน นี่เป็นสาเหตุที่ก่อความอ้วนได้ง่ายมาก
ผลข้างเคียงของยาที่เข้าไปหยุดการดูดซับของไขมัน ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ขาดสารอาหารที่ละลายอยู่ในไขมัน ไม่ว่าจะเป็นไขมันดีและไม่ดี
กลุ่มยาที่เป็นสมุนไพร อาทิ มะขามแขก ส้มแขก ฯลฯ จะอยู่ที่ดุลยพินิจของแพทย์ว่าสั่งจ่ายยาชนิดใด เพื่อให้เหมาะสมกับสาเหตุของคนไข้ ซึ่งสมุนไพรจะช่วยรักษาได้ดีและปลอดภัย อาการโยโย่ อาการนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทานอาหาร ไม่ว่าคุณจะทานยาหรือไม่ก็ตาม อาการโยโย่นี้เกิดขึ้นได้แน่นอน หากคนไข้ไม่ปรับพฤติกรรมการทาน แค่การทานยาบางตัวอาจไปกระตุ้นให้อยากอาหารมากกว่าปกติก็เป็นได้ แนะนำให้คนที่ลดความอ้วนปรึกษาแพทย์ ทำตามคำแนะนำรักษาตามสาเหตุ ทานยามั่วเกิดผลข้างเคียงตามมา ขยันออกกำลังกาย หากทำอย่างเคร่งครัด รับรองสุขภาพดี หุ่นดี ผิวสวยยั่งยืน
|